Thursday, April 14, 2011

จากวันนั้น...ถึงวันนี้

ข้าพเจ้าเริ่มทำ blog  “panda-n-mee”  ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2554 ด้วยเวลาที่ไม่ถึง 15 นาที ขณะนั้นไม่คิดเลยว่าจะต้องใช้เวลามานานจนถึงบัดนี้ 14 เมษายน เกือบสี่เดือน


เริ่มตั้งแต่หนูหลินปิงยังไม่ถูกพรากจากแม่อย่างถาวร แต่ในขณะนั้นอาการของหนูหลินปิงที่ได้พบเห็นก็มีอาการน่าเป็นห่วงแล้ว ทั้งนี้ ทั้งนั้น ได้พยายามไปเขียนขอร้องให้สัตวแพทย์และพี่เลี้ยง ช่วยไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้ขบวนการแยกแม่ลูกได้เป็นไปอย่างละมุนละม่อม  แต่ดูเหมือนว่า ไม่บังเกิดผลอันใด ไม่ทราบว่าเหตุจะเกิดจากการที่สัตวแพทย์ของโครงการและพี่เลี้ยงทำงานจนไม่มีเวลาไปค้นคว้าข้อมูล หรือว่า เห็นคำสั่งที่ได้รับมาจากผู้ที่จบการศึกษามาจากคณะมนุษยศาสตร์ ซึ่งไม่เคยได้ศึกษาเรื่องการแลสัตว์ป่าแต่อย่างไร ข้อนี้ก็ยังแปลกใจว่าได้รับการแต่งตั้งเข้าไปได้อย่างไร แต่นั่นแหละเหตุการณ์แบบนี่เกิดขึ้นได้เสมอ
เกือบจะ 7 เดือนแล้วที่เฝ้าดูหนูหลินปิงถูกทรมานในรูปแบบต่างๆ โดยได้เขียนคำร้องไปยังที่ต่างๆ และ ในที่สุด ก็ได้คำตอบรับมาจากการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ซึ่งต้องขอกราบขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ที่ทำให้ข้าพเจ้ายังพอมีความหวังบ้าง ที่ยังมีคนมีคุณธรรมหลงเหลืออยู่ในแวดวงของสัตวแพทย์ระดับสูง


ก็ดูเหมือนจะสายเกินไป เพราะหนูหลินปิงกลายเป็นแพนด้าที่ติดคนไปแล้ว เดือนกว่าที่ได้มีการปรับพฤติกรรมเกิดขึ้น และดูเหมือนว่าไม่ประสบผลสำเร็จ เราได้เห็นแพนด้าที่เอาแต่นอน และถูกปลุกเป็นระยะเพื่อมาโชว์นักท่องเที่ยว


ได้ถามไปทางองค์การสวนสัตว์ว่าทำไมไม่ลองให้แม่ลูกได้เจอกกัน ได้คำตอบมาว่า อาจจะได้เจอกกัน แต่ไม่ใช่ในขณะนี้ แล้วถ้าเจอกัน ก็จะเป็นการทรมานอีก ก็ไม่ทราบว่าการทรมานที่จะเกิดขึ้น จะเกิดจากสาเหตุอะไร เพราะเมื่อแม่ลูกมีความสุขที่จะได้เห็นกันผ่านกรง แล้วจะไปแยกให้ทั้งคู่แยกจากกันอีกทำไม เพราะสักวันหนึ่ง ไม่กี่เดือนให้หลัง หนูหลินปิงก็คงเลิกสนใจแม่ และหลินฮุ่ยก็จะเริ่มกลับไปมีชีวิตส่วนตัวได้อย่างมีความสุข ทั้งคู่จะเริ่มมีชีวิตเป็นของตนเองจากสัญชาติญาณของสัตว์ที่พึงจะเป็น ไม่ใช่เกิดจากการบังคับของมนุษย์ที่ได้กระทำการโดยไม่ได้เตรียมความพร้อมในการรับมือเรื่องนี้ตั้งแต่ตัน


ระยะ 2-3 วันที่ผ่านมา หลินฮุ่ยก็มีอาการเดินวน และม้วนตัวหลายรอบต่อวัน  เชื่อว่าสัตวแพทย์ของโครงการจะมาออกข่าวว่าหลินฮุ่ย เล่นอย่างสนุกสนานอีกตามเคย


ก็พอจะทราบมาอยู่บ้างว่า ปริญญาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนที่จบมา จะมีความรู้ความสามารถจริง แต่เมือ่ต้องมาทำงานในด้านที่ต้องการความพิเศษเฉพาะด้าน ก็สมควรที่จะมีการไปค้นคว้าเพิ่มเติม หรือปรึกษาผู้ที่มีคุณวุฒิสูงกว่า มาประกอบในการทำงาน ประกอบในการตัดสินใจที่สำคัญๆ


ผิดหวังมาก สำหรับการทำงานของสัตวแพทย์ของโครงการ รวมถึงผิดหวังในด้านจรรยาบรรณด้วย ไม่รักษาชื่อเสียงของสถาบันที่ได้ร่ำเรียนมาบ้างเลย


อันที่จริงแล้ว ข้าพเจ้าไม่ชอบที่จะเขียนอะไรยาว ๆ แต่วันนี้เมือ่ได้เห็นหลินฮุ่ยมีอาการดังที่กล่าวมาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเขียน
ในสังคมแพนด้าเล็กๆ คิดว่าน่าจะมีการรักษาให้สังคมแห่งนี้ดีขึ้นได้...ไม่ทราบว่าฝันมากเกินไปหรือไม่

No comments:

Post a Comment